Tacrolimus (ทาโครลิมัส)

Tacrolimus (ทาโครลิมัส)

trang cá cược xổ số 

Tacrolimus (ทาโครลิมัส) เป็นยากดภูมิคุ้มกันที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายลดต่ำลง ใช้กับผู้ป่วยที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เพื่อไม่ให้ร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ เช่น การปลูกถ่ายไตและตับ เป็นต้น โดยปกติระบบภูมิคุ้มกันร่างกายจะช่วยยับยั้งการติดเชื้อหรือกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย ซึ่งร่างกายอาจเข้าใจว่าอวัยวะใหม่ที่ปลูกถ่ายนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอมเช่นกัน จึงจำเป็นต้องใช้ยานี้เพื่อกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และอาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย

trang cá cược xổ số Liên kết đăng nhập

ยา Tacrolimus มีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ

เกี่ยวกับยา Tacrolimus

กลุ่มยา ยากดภูมิคุ้มกัน
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์ 
สรรพคุณ ป้องกันร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ในการปลูกถ่ายอวัยวะ
กลุ่มผู้ป่วย เด็ก ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยาฉีด ยารับประทาน ยาใช้ภายนอก

คำเตือนในการใช้ยา Tacrolimus

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ และแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
  • แจ้งให้แพทย์ก่อนใช้ยา เกี่ยวกับยาทุกชนิดที่กำลังใช้อยู่ โดยเฉพาะหากใช้ไฮโดรจีเนท แคสเตอร์ออยล์ หรือยาไซโคลสปอรินภายใน 24 ชั่วโมงก่อนหน้า เพราะยาบางชนิดอาจทำให้ไตเกิดความเสียหายได้
  • ยานี้อาจทำให้เซลล์เม็ดเลือดที่ต่อต้านการติดเชื้อในร่างกายมีจำนวนลดลง หรือทำให้ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะที่รุนแรงหรือถึงขั้้นเสียชีวิตได้ เช่น โรคมะเร็ง การติดเชื้อในสมองอย่างรุนแรง หรือติดเชื้อไวรัสที่ทำให้ไตที่ปลูกถ่ายมาทำงานล้มเหลว เป็นต้น ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียก่อนใช้ยาเสมอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว
  • ระหว่างที่ใช้ยานี้ หากพบว่ามีอาการของการติดเชื้อในสมองที่รุนแรง เช่น สติรับรู้มีการเปลี่ยนแปลง มีปัญหาในการพูด การเดิน หรือการมองเห็นแย่ลง เป็นต้น ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ทันที โดยอาการดังกล่าวอาจเริ่มเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและแย่ลงอย่างรวดเร็ว
  • หลีกเลี่ยงการรับวัคซีนเชื้อเป็น (Live Vaccine) ในระหว่างที่ใช้ยา เพราะยานี้อาจทำให้วัคซีนเชื้อเป็นบางชนิดมีประสิทธิภาพลดลง
  • ระหว่างที่ใช้ยานี้ ควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับคนป่วยหรือผู้ที่ติดเชื้อ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด เพราะอาจทำให้ผิวไหม้แดดได้ง่าย ซึ่งผู้ป่วยควรสวมใส่เสื้อผ้าหรือใช้ครีมกันแดดปกป้องผิวจากแสงแดดเสมอ
  • การใช้ยา Tacrolimus อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะหากใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากเป็นโรคตับ โรคไต ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลหรือไตรกลีเซอไรด์สูง รวมไปถึงหากกำลังใช้ยากดภูมิคุ้มกันชนิดอื่น ๆ เช่น ยารักษามะเร็ง หรือยาสเตียรอยด์ เป็นต้น
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์ วางแผนมีบุตร หรือกำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของยาก่อนใช้ยานี้

ปริมาณการใช้ยา Tacrolimus

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

ป้องกันร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ในการปลูกถ่ายตับ
ยาฉีด

  • ผู้ใหญ่ ฉีดยาปริมาณเริ่มต้น 10-50 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน โดยหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำอย่างต่อเนื่องประมาณ 24 ชั่วโมงหลังเริ่มปลูกถ่ายอวัยวะผ่านไป 12 ชั่วโมง โดยใช้ยาต่อเนื่องสูงสุดไม่เกิน 7 วัน และให้เปลี่่ยนไปเป็นการรับประทานยาทันทีที่ผู้ป่วยสามารถทนต่อยาได้ ซึ่งควรรรับประทานยาครั้งแรกในช่วง 8-12 ชั่วโมงหลังจากหยุดการหยดยาเข้าทางหลอดเลือด
  • เด็ก ฉีดยาปริมาณเริ่มต้น 0.03-0.05 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน โดยหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำอย่างต่อเนื่องประมาณ 24 ชั่วโมง ให้เริ่มใช้ยาเมื่อผ่านไป 6 ชั่วโมงหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ และเริ่มจากการใช้ยาในปริมาณต่ำสุด ใช้ยาต่อเนื่องจนกว่าจะสามารถเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดรับประทานได้ ซึ่งควรเริ่มใช้ยาชนิดรับประทานเมื่อผ่านไป 8-12 ชั่วโมงหลังจากหยุดหยดยาเข้าทางหลอดเลือด

ยารับประทาน

  • ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 0.1-0.2 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง โดยเริ่มรับประทานยาเมื่อผ่านไป 12 ชั่วโมงหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ
  • เด็ก รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 0.15-0.20 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง โดยเริ่มรับประทานยาเมื่อผ่านไป 6 ชั่วโมงหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ

ป้องกันร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ในการปลูกถ่ายไต

ยาฉีด

  • ผู้ใหญ่ ฉีดยาปริมาณเริ่มต้น 0.05-0.1 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน โดยหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำอย่างต่อเนื่องประมาณ 24 ชั่วโมง เริ่มใช้ยาภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มการปลูกถ่ายอวัยวะ และใช้ยาต่อเนื่องสูงสุดไม่เกิน 7 วัน หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดรับประทาน

ยารับประทาน

  • ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณเริ่มต้น 0.2-0.3 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน แบ่งรับประทาน 2 ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง เริ่มรับประทานยาภายใน 24 ชั่วโมงหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ

ป้องกันร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ในการปลูกถ่ายหัวใจ

ยาฉีด

  • ผู้ใหญ่ อาจมีการใช้หรือไม่ใช้แอนติบอดี้ก่อนเริ่มการปลูกถ่ายอวัยวะ เริ่มใช้ยาภายใน 5 วันหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ แต่ไม่ควรใช้ยาเร็วกว่า 6 ชั่วโมงหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำปริมาณ 10-20 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน เป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง ใช้ยาติดต่อกันไม่เกิน 7 วัน และเปลี่ยนเป็นยาชนิดรับประทานทันทีที่ผู้ป่วยสามารถทนต่อยาได้ ซึ่งควรใช้ยาชนิดรับประทานครั้งแรกหลังจากหยุดหยดยาเข้าทางหลอดเลือดดำไปแล้วประมาณ 8-12 ชั่วโมง

ยารับประทาน

  • ผู้ใหญ่ อาจมีการใช้หรือไม่ใช้แอนติบอดี้ก่อนเริ่มการปลูกถ่ายอวัยวะ เริ่มใช้ยาภายใน 5 วันหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ และไม่ควรใช้ยาเร็วกว่า 6 ชั่วโมงหลังการปลูกถ่ายอวัยวะ โดยรับประทานยาปริมาณ 75 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และแบ่งเป็นรับประทาน 2 ครั้ง

ฝีคัณฑสูตรจากโรคโครห์น

  • ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทาน 2 ครั้ง เป็นเวลา 10 สัปดาห์

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

  • ผู้ใหญ่ และเด็กอายุ 15 ปีขึ้นไป ใช้ยาขี้ผึ้งที่มีความเข้มข้นของยา 0.03 เปอร์เซ็นต์ หรือ 0.1 เปอร์เซ็นต์ ค่อย ๆ ทาบริเวณที่ต้องการบาง ๆ วันละ 2 ครั้ง โดยจะใช้ในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ อาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอีกครั้ง
  • เด็กอายุ 2-15 ปี ใช้ยาขี้ผึ้งที่มีความเข้มข้นของยา 0.03 เปอร์เซ็นต์ ค่อย ๆ ทาบริเวณที่ต้องการบาง ๆ วันละ 2 ครั้ง โดยใช้ในระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น

การใช้ยา Tacrolimus

  • ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยาในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
  • โดยทั่วไปมักจะฉีดยา Tacrolimus ให้ผู้ป่วยหลังจากที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ซึ่งจะให้ยาโดยการฉีดจนกว่าผู้ป่วยจะพร้อมใช้ยาในรูปแบบรับประทาน
  • ยา Tacrolimus ชนิดแคปซูล มักจะให้รับประทานทุก 12 ชั่วโมง และควรรับประทานเวลาเดียวกันทุกวัน
  • การใช้ยา Tacrolimus ชนิดรับประทาน สามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ โดยรับประทานก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง หรือหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง ควรรับประทานตอนท้องว่าง และรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน
  • ระหว่างที่ใช้ยานี้ ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่ายาไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
  • ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ตามนัดหมายและเข้ารับการตรวจด้านต่าง ๆ ตามที่แพทย์แนะนำ โดยเฉพาะการตรวจเลือดหรือตรวจปัสสาวะ
  • ระหว่างที่ใช้ยา ให้หลีกเลี่ยงการบริโภคเกรปฟรุตและน้ำเกรปฟรุต
  • หากลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้กับเวลาที่ต้องใช้ยาในรอบถัดไป ให้ข้ามไปใช้ยารอบต่อไป และห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
  • หากสงสัยว่าตนเองใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
  • เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความร้อนและความชื้น

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Tacrolimus

การใช้ยา Tacrolimus อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้น้อย เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ มือบวม และเท้าบวม เป็นต้น หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์

หากพบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการใช้ยา Tacrolimus ดังต่อไปนี้ ควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที

  • ผิวซีด วิงเวียน หายใจไม่อิ่ม หัวใจเต้นเร็ว ไม่มีสมาธิ
  • มีไข้ หนาวสั่น ปวดตามตัว เป็นหวัด มีแผลในปากและคอ
  • ปวดหลังส่วนล่างหรือสีข้าง ปัสสาวะปนเลือด เจ็บหรือระคายเคืองเวลาปัสสาวะ
  • ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ หรือไม่ปัสสาวะ
  • ไอแห้ง ๆ ไอมีเสมหะหรือไอเป็นเลือด ผิวซีด เหงื่อออก หายใจมีเสียง หายใจลำบาก และเจ็บหน้าอก
  • สั่น สับสน ระดับการรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง การมองเห็นเปลี่ยนแปลง และมีอาการชัก
  • ความดันโลหิตสูง ซึ่งอาจทำให้มีอาการ เช่น ปวดศีรษะรุนแรง มองเห็นไม่ชัด มีเสียงดังในหู เจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หัวใจเต้นผิดปกติ และวิตกกังวล เป็นต้น
  • น้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งอาจทำให้มีอาการ เช่น กระหายน้ำมาก ปัสสาวะมาก หิวมาก หายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ ปากแห้ง ผิวแห้ง ง่วงซึม มองเห็นไม่ชัด เป็นต้น
  • โพแทสเซียมในร่างกายสูง ซึ่งอาจทำให้มีอาการ เช่น หัวใจเต้นช้า ชีพจรอ่อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง และรู้สึกชา เป็นต้น
  • แมกนีเซียมในร่างกายต่ำ ซึ่งอาจทำให้มีอาการ เช่น กล้ามเนื้อกระตุก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา หรือการตอบสนองของร่างกายช้ากว่าปกติ เป็นต้น

นอกจากนี้ หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน

cá cược xổ số trực tuyến  baccarat live baccarat online gambling baccarat poker game online live dealer baccarat